คำตอบนั้นมีหลายอย่างเหลือเกิน และรวมไปถึงเรื่องราวในวงการฟุตบอลด้วย เพราะเมื่อสโมสรหนึ่งเซ็นสัญญากับนักเตะดัง ๆ ค่าตัวหรือค่าเหนื่อยแพงระยับในแบบที่ทีมอื่นจ่ายไม่ไหว พวกเขาจะมักจะโดนล้อว่า “มีเงินอย่างเดียวซื้อไม่ได้นะ …” และฝั่งที่โดนล้อก็จะตอบกลับด้วยประโยคสุดคลาสสิกว่า “แค่ขายเสื้อก็คุ้มแล้ว” … แทบจะ 9 ใน 10 ครั้ง ประโยคนี้ถูกนำออกมาใช้เสมอ ๆ เพื่อยืนยันว่า “นี่คือดีลที่ชาญฉลาด” อย่างไรก็ตาม ภายใต้วลีสุดคลาสสิก ความจริงเป็นเช่นไร ? แค่ขายเสื้อก็คุ้มแล้วมีจริงหรือไม่ ? หรือแค่แก้เขินไปอย่างนั้น ?
ในสภาวการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้ ต้องเผชิญกับโรคระบาด โควิด 19 ตลอดช่วงสองปีที่ผ่านมา ทำให้เศรษฐกิจโลกหยุดชะงัก รายได้กำไรไม่ต้องถามหา ขอแค่เข้าเนื้อให้น้อยที่สุด เยื้อตัวเองให้ให้อยู่ได้เพื่อรอวันกลับมาเหมือนเดิม ทุกภาคส่วน ทุกวงการรวมทั้งเรื่องเกี่ยวกับกีฬาด้วย โดยเฉพาะวงการฟุตบอลที่ปกติช่วงซัมเมอร์ จะต้องมีแต่ข่าวย้ายทีมกัน จะว่าไม่มีเลยมันก็ไม่ถูก แต่มันมีน้อยและย้ายกันด้วยเหตุผลเรื่องความอยู่รอดของสโมสรฯ รวมถึงนักเตะต้องการค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น
ฟุตบอลอังกฤษหรือ พรีเมียร์ลีก คือลีกที่มีแฟนบอลติดตามชมและเชียร์มากที่สุด จะมีก็แต่ทีมบิ๊ก ๆ ที่ปีนี้ซื้อขายตัวผู้เล่นกันน้อยมาก แต่ราคาค่าตัวนักเตะก็ยังดูสูงเกินความเป็นจริง เช่น แมนฯ ซิตี้ คว้าตัว แจ็ค กลินริช มาด้วยราคาเตะ 100 ล้านปอนด์ เขากลายเป็นผู้เล่นอังกฤษคนแรกใน พรีเมียร์ลีก ที่ย้ายทีมด้วยราคานี้ หรือทีมคู่ปรับอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ต้นซัมเมอร์ปิดดีลมหากาพย์กับ เจดอน ซานโซ่ ตามมาด้วยกองหลังชื่อดังอย่าง วาราน และปิดท้ายต้อนรับกลับบ้านกับ โรนันโด้ ซึ่งราคารวมกันก็ประมาณ 150++ หรือทีมเชลชี ที่คว้าอดีตฉายาตู้เย็นอย่าง ลูกากู มาด้วยราคา 97.5 ล้านปอนด์ ทีมอย่าง อาร์เซน่อล ก็ลงทุนไปเยอะเหมือนกัน แต่มีทีมหนึ่งที่ยังคงคอนเซ็ปเดิมไม่เปลี่ยนแปลงคือ ลิเวอร์พลู ( ฉันมองเธออยู่ แต่ไม่รู้จะซื้อเมื่อไหร่ )
ข่าวนักเตะทั้งหมดทั้งมวลที่อังกฤษปีนี้ โดนกลบความซ่าไปด้วยลีกเอิง ของฝรั่งเศสของทีมอย่าง เปแอชเช ที่ไปคว้านักเตะเบอร์หนึ่งของโลกอย่าง แมสซี่ มาแบบไม่มีค่าตัวเพราะหมดสัญญา แต่นักวิเคราะห์ข่าวกีฬาประเมินว่า แมสซี่ จะได้รับค่าเหนื่อยอยู่ที่ปีละ 40 ล้านยูโรและค่าเซ็นสัญญาแบบกินเปล่าอีก 30 ล้านยูโร รวมแล้วก็ตกอยู่ที่ 70 ล้านยูโร เพียงแค่เป้าหมายเดียวคือการคว้าแชมป์ฟุตบอลรายการ ยูฟ่า เแชมป์เปี้ยนลีก มาให้ได้ในปีนี้ บางคนแซวว่า “ ซื้อว่าวราคาแพง “
ก่อนหน้าถึงเวลาย้ายจริง ก็มีข่าวอยู่แล้วว่า เปแอชเช คือทีมเต็งในการคว้าตัว แมสซี่ แน่นอนยุคนี้จะทำอะไรมันก็ต้องสร้างกระแสก่อน เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจ และพอถึงเวลาเปิดตัวจริงแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น เสื้อเบอร์ 30 ที่เจ้าตัวจะใส่ลงสนามขายได้ 1.5 แสนตัว ก็เป็นไปตามที่นักเคราะห์การตลาดคาด ก่อนหน้าปรากฏการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อ โรนันโด้ ย้ายจากทีม มาดริด ไปทีม ยูเวนตุส หรือนักเตะอย่าง พอล ป๊อกบา ที่ย้ายจากทีม ยูเวนตุส กลับมายัง แมนฯ ยูไนเต็ด ครั้งที่สอง กระแสเรื่องการขายเสื้อก็ทำงานโดยอัตโนมัติ
“ขายเสื้อก็คืนทุน” ประโยคนี้เรื่องจริงหรือเปล่า เรื่องนี้จะเป็นจริงหรือไม่ เราต้องมองไปที่สัญญาของสปอนด์เซ่อร์เสื้อทีมของสโมสรฯ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นแบรนด์กีฬาชั้นนำระดับโลก เงินอุดหนุนรายปีก็เป็นไปตามที่ตกลงกันตอนเซ็นสัญญา แต่ส่วนแบ่งการขายเสื้อนั้น โดยแทบจะทุกสัญญาสปอนด์เสื้อจะได้เงิน 90% และสโมสรฯ จะได้แค่ 10% จากยอดขายเท่านั้น จากตัวเลขแบบนี้แสดงให้เห็นเลยว่า การเสื้อก็คืนทุนนั้นเป็นไปได้ยาก แต่มันก็เป็นไปได้นะ ถ้านักเตะคนนั้นอยู่กับสโมสรฯ นานและผลงานดีต่อเนื่อง
ทฤษฎีการขายเสื้อของ แมสซี่ นั้นเป็นไปได้ยากมาก เพราะหากจะทำให้ทีม เปแอชเช คุ้มทุนพวกเขาจะต้องขายเสื้อให้ได้ 5 ล้านตัว เอาตัวอย่างทีมลิเวอร์พลู ที่มีเรื่องการขายเสื้อเป็นตัวชูโรงปีที่แล้วก็ยังขายได้แค่ 1.67 ล้านตัวเท่านั้น เพราะฉะนั้นวลีที่ว่า “ขายเสื้อก็คืนทุน”
ยังไม่มีนักเตะคนไหนคืนกำไรให้สโมสรฯ ได้สำเร็จ แต่ว่าเรามียอดทีมนักเจราจาอย่าง ลิเวอร์พลู ได้สร้างแบบอย่างโดยต่อลองกับบริษัท ไนกี้ ได้สำเร็จแล้ว เพราะในสัญญาระบุว่าทีม ลิเวอร์พลู ยอมลดเงินรายปีลงเหลือแค่ 30 ล้านยูโร แต่ขอเพิ่มส่วนแบ่งการขายเสื้อเป็น 20% เพราะพวกเขามั่นใจในความเก่งกาจเรื่องขายเสื้อมาก ๆ นับเป็นดีลที่สุดยอดขนาดบริษัท ไนกี้ ยังยอมรับว่าไม่เคยให้สัญญาแบบนี้ที่ไหนมาก่อนเลย เบ็ดเสร็จแล้วลิเวอร์พลูจะมีรายได้รวมจาก ไนกี้ ปีหนึ่งตก 100 ล้านปอนด์
กรณีของ แมสซี่ นั้นทีม เปแอชเช ได้พยามเจราจาต่อรองกับบริษัท ไนกี้ ใหม่แล้ว โดยเอาสัญญาของลิเวอร์พลู เป็นแบบอย่าง แต่ยังไม่ได้รับการยืนยัน เพราะต้องดูเรื่องยอดและแนวโน้มการตลาดอีกที ประมาณว่าคว้าถ้วย ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีก นั้นยากแล้วนะ แต่การจะเป็นแชมป์ขายเสื้อนั้นยากยิ่งกว่าครับ