“คิปโชเก้” คว้าเหรียญทองวิ่งมาราธอนชาย โอลิมปิก 2020

ข่าวกีฬา

เอลิอุด คิปโชเก้ นักวิ่งปอดเหล็กชาวเคนยา คว้าเหรียญทองโอลิมปิก ในการวิ่งมาราธอนเป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน และถือเป็นคนที่ 3 ในประวัติศาสตร์ที่ป้องกันแชมป์ได้ เอลิอุด คิปโชเก้ ยังสร้างสถิติเป็นนักวิ่งคนแรกที่วิ่งมาราธอนต่ำกว่า 2 ชั่วโมง และมีดีกรีเป็นแชมป์เก่า พอมาที่โตเกียวปีนี้ก็ได้คว้าเหรียญทองไปตามความคาดหมาย โดยวิ่งเข้าเส้นชัยด้วยเวลา 2 ชั่วโมง 8 นาที 38 วินาที พร้อมกับสร้างสถิติเป็นนักวิ่งคนที่ 3 ในประวัติศาสตร์ ที่สามารถป้องกันแชมป์วิ่งมาราธอนในโอลิมปิกได้ ต่อจาก อเบเบ บิกิล่า ของเอธิโอเปีย ที่เคยทำไว้ในปี 1960 และ 1964 กับ วัลเดมาร์ ซีร์พินสกี้ จากเยอรมันตะวันออกที่ทำได้ในปี 1976 และ 1980

กีฬาวิ่งมาราธอนชายโอลิมปิก ถือเป็นรายการใหญ่ไม่แพ้มาราธอนชิงแชมป์โลก แน่นอนคนที่ชอบวิ่งเพื่อสุขภาพ หรือลงแข่งวิ่งประจำ สิ่งหนึ่งที่ต้องมองต่อจากรูปร่างใบหน้านักกีฬาแล้วคือ รองเท้าวิ่ง ที่นักกีฬาคนนั้นสวมใส่ เราลองมาทำความรู้จักรองเท้าวิ่งที่ คิปโชเก แชมป์มาราธอนโอลิมปิกเกมส์ปีนี้เลือกใส่กันหน่อย 

Nike ZoomX Vaporfly Next% 2 เป็นรองเท้าสำหรับสายเรซซิ่ง หรือสายลงแข่งขันเน้นทำเวลาให้ได้ดีที่สุด ดังนั้นคุณลักษณะของมันจึงต่างจากรองเท้าที่ใส่ซ้อมวิ่งเป็นประจำ เพราะรองเท้าใส่ซ้อมนั้น มักเน้นที่ความทนทานมาก่อน เพราะต้องใส่บ่อย ใส่ซ้อมวิ่งไม่รู้กี่ร้อยกิโลเมตร มันจะมีซัพพอร์ตเยอะกว่า และน้ำหนักจึงสูงกว่ารองเท้าแข่งจริง ในขณะที่รองเท้าสายเรซซิ่งต้องเบา เพราะเมื่อวิ่งไปนานๆ รองเท้าที่หนักๆ มันจะกลายมาเป็นภาระให้เท้าของเรา และมีอายุการใช้งานน้อยกว่า เพราะพื้นรองเท้าค่อนข้างบาง นักวิ่งอาชีพส่วนใหญ่ก็จะใช้แค่ครั้งเดียวแล้วปลดระวาง ที่เห็นถอดแจกแฟน ๆ หลังจบการแข่งขันนั้น ส่วนหนึ่งก็เพราะเหตุผลนี้แหละ

สำหรับนักวิ่งที่เฝ้าติดตามเกมการแข่งวิ่งใน โอลิมปิก เกมส์ ครั้งนี้ คงอดไม่ได้ที่จะคอยส่องรองเท้าวิ่งของนักกีฬาแต่ละคนว่า เขาหรือเธอนั้น เลือกหยิบรองเท้าคู่ไหนมาใช้ในวันแข่ง จากที่เห็นก็จะมีทั้งแบรนด์ Nike, Adidas, Asics หรือ Puma ซึ่งล้วนเป็นรองเท้าวิ่งประเภทเรซซิ่ง (Racing) หรือสายทำความเร็วแทบทั้งสิ้น แต่ที่เห็นจะโดดเด่นมากที่สุดคงหนีไม่พ้น Nike ZoomX Vaporfly Next% 2 ที่ล่าสุดนักวิ่งชาวเคนยา เอเลียด คิปโชเก เพิ่งใส่วิ่งเข้าเส้นชัย คว้าเหรียญทองในการแข่งโอลิมปิกเกมส์ ที่โตเกียวมาครองเป็นสมัยที่ 2 

ถ้าสังเกตให้ดีในสนามแข่งมาราธอน นักกีฬาชายหลายคนใส่รองเท้าวิ่งรุ่นนี้ลงสนาม รวมถึงนักวิ่งชาวญี่ปุ่นเจ้าภาพด้วยเช่นกัน งานนี้เราต้องทำความรู้จักรองเท้ารุ่นนี้กันสักหน่อยแล้วว่า เพราะเหตุใด Nike ZoomX Vaporfly Next% 2 ถึงได้กลายมาเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของนักวิ่งระยะไกลระดับโลกที่อยากวิ่งให้ได้เวลาเร็วที่สุด  

Nike ZoomX Vaporfly Next% 2 นับเป็น Super Shoes ที่ต่อยอดมาจากรองเท้ารุ่น Nike ZoomX Vaporfly 4% ซึ่งเป็นรองเท้าที่ช่วยให้คุณวิ่งเร็วขึ้น 4% หลังผลิตออกมาในปี 2017 ก่อนจะพัฒนามาสู่เจเนอเรชั่นใหม่อย่างรุ่น Nike ZoomX Vaporfly Next% ที่ออกมาในปี 2019 หลัง Nike ตัดสินใจเลิกใส่ตัวเลขหน้าเปอร์เซ็นต์ แต่เปลี่ยนมาใช้คำว่า Next% ไปเลย เพราะต้องการมองไปข้างหน้า โดยไม่จำเป็นต้องจำกัดว่า คุณจะเร็วขึ้นเท่าไร แต่ใส่แล้ววิ่งเร็วขึ้นแน่นอนอะไรประมาณนั้น 

จุดเด่นของรองเท้าคู่นี้อยู่ที่การใช้โฟม ZoomX ในส่วนพื้นชั้นกลางที่มอบความ นุ่มด้วย เด้งด้วย ข้อดีคือไม่ยวบดูดแรง เสริมด้วยแผ่นคาร์บอนเต็มแผ่นอีกชั้น ช่วยเพิ่มแรงสะท้อนกลับเข้าไปอีก ผลดีทั้งสองประการนี้ จึงช่วยสนับสนุนให้นักกีฬาวิ่งได้เร็วยิ่งขึ้น แต่รุ่นที่ คิปโชเก ใส่เป็นรุ่นที่สองของตระกูล Next% ที่ออกมาในปีนี้ มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียด ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการวิ่งที่เห็นชัดสุดได้แก่ การเปลี่ยนวัสดุอัปเปอร์ หรือผ้าบริเวณหน้ารองเท้ามาเป็น Engineered Mesh ที่โปร่งระบายอากาศได้ดี อีกทั้งยังมีความแข็งแรง สวมกระชับเท้านักวิ่ง และไม่สร้างแรงกดทับบริเวณนิ้วเท้า ลิ้นรองเท้าบุฟองน้ำให้หนาขึ้น ลดการกดทับเช่นกัน 

นอกจากนี้เชือกรองเท้ายังเปลี่ยนมาใช้แบบหยัก ที่ผูกแล้วหลุดยากยิ่งขึ้น ในขณะที่ตัว ZoomX และแผ่นคาร์บอนยังให้มาเหมือนรุ่นแรก แต่สีที่ใส่เป็นสีใหม่เฉพาะกิจอย่าง โตเกียวคอลเล็กชัน ที่มีวางจำหน่ายแล้วในราคาประมาณ 7,500 บาท โดยแล้วแต่ช็อปและช่วงโปรโมชั่น อย่างที่บอกว่า Nike ZoomX Vaporfly Next% 2 เป็นรองเท้าสำหรับสายเรซซิ่ง หรือสายลงแข่งขันเพื่อทำเวลาให้ได้ดีที่สุด ดังนั้นคุณลักษณะของมันจึงต่างจากรองเท้าที่ใส่ซ้อมวิ่งเป็นประจำ หากเป็นนักวิ่งระดับอีลิทหรือแถวหน้า หรือผู้ที่จริงจังกับการวิ่ง มักจะมีรองเท้าที่ใส่แยกกันระหว่างรองเท้าซ้อมและรองเท้าแข่ง เราขอแนะนำว่า ก่อนวันแข่งจริง คุณควรหยิบรองเท้าแข่งมาลองซ้อมวิ่งดูสักหน่อย เพื่อจับฟีลและสร้างความคุ้นเคย ไม่แนะนำให้ใส่ครั้งแรกในวันแข่งเลย เพราะอาจเจอปัญหาที่ไม่พึงประสงค์ได้ครับ